4 ประเภทภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้


 

ประเภทภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศต้องมีการชำระภาษีและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ประกอบการมือใหม่ควรรู้ว่ามีภาษีทั้งหมด 4 ประเภทหลักที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าดังนี้

1. ภาษีอากรขาเข้า (Import Duty)
คือภาษีที่กรมศุลกากรจัดเก็บจากการนำสินค้าเข้ามาในประเทศ
เกณฑ์การเสียภาษี:

  • การนำเข้าผ่านบริษัทชิปปิ้ง: ต้องชำระภาษีเมื่อมูลค่าสินค้ารวมค่าขนส่งและประกันภัยเกิน 1,500 บาท
  • ของติดตัว: ต้องชำระภาษีเมื่อของที่นำเข้ามีมูลค่าเกิน 20,000 บาท

ข้อควรจำ: ต้องเก็บเอกสารที่ออกโดยกรมศุลกากรไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย 5 ปี และหากชำระภาษีขาดอาจถูกเรียกเก็บย้อนหลังพร้อมบทลงโทษได้

2. ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax)
คือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าบางประเภทที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม หรือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ รถยนต์ น้ำหอม เป็นต้น

3. ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax)
เป็นภาษีที่จัดเก็บควบคู่ไปกับภาษีสรรพสามิต โดยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสินค้าต้องเสียภาษีสรรพสามิตเท่านั้น

4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
คือภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในทุกขั้นตอนของสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันจัดเก็บที่ 7%
เกณฑ์การเสียภาษี:

  • การนำเข้าผ่านบริษัทชิปปิ้ง: ต้องชำระภาษีเมื่อมูลค่าสินค้ารวมค่าขนส่งและประกันภัยเกิน 1,500 บาท
  • ของติดตัว: ต้องชำระภาษีเมื่อของที่นำเข้ามีมูลค่าเกิน 20,000 บาท
  • ข้อควรจำ:
  • ต้องเก็บเอกสารที่ออกโดยกรมศุลกากรไว้เป็นหลักฐานอย่างน้อย 5 ปี และหากชำระภาษีขาดอาจถูกเรียกเก็บย้อนหลังพร้อมบทลงโทษได้
  • การนำเข้าผ่านบริษัทชิปปิ้ง/ไปรษณีย์: ต้องชำระภาษีเมื่อมูลค่าสินค้ารวมค่าขนส่งและประกันภัยเกิน 1,500 บาท
  • ของติดตัว: ต้องชำระภาษีเมื่อมีมูลค่าเกิน 20,000 บาท
  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี
    ปัจจุบัน การนำเข้าสินค้าจากจีนบางประเภทสามารถได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าต่ำสุด 0% หากมีเอกสาร ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form E) ซึ่งสามารถขอจากบริษัทผู้ส่งออกหรือให้บริษัทชิปปิ้งดำเนินการให้ได้