“ศุภจี” มอบ 7 นโยบาย ลุย “Quick Big Win”


 

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบาย ลุย “Quick Big Win”

เดินหน้าเจรจาภาษีทรัมป์ให้จบสิ้นปี แก้ปัญหาค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ลดค่าครองชีพ เตรียมจับมือโรงพยาบาลเอกชน ออกมาตรการแจ้งราคายาให้ประชาชนรู้ก่อนจ่าย หรือเอาใบสั่งยาไปซื้อนอกโรงพยาบาล คาดลดรายจ่ายได้ปีละกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท พร้อมเร่งหาตลาดใหม่ คาด ส่งออกปีนี้โต 6-7% เกินเป้าหมาย มูลค่าทะลุ 12 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการมอบนโยบายการทำงานแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์ไทยในต่างประเทศว่า ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะสั้น และวางรากฐานสำหรับประเทศในระยะยาว ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” โดยมี 7 เรื่องหลักที่จะเร่งดำเนินการ คือ

1. การเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อเร่งสรุปความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ไทย-สหรัฐฯ (ART) ภายในเดือนธ.ค.68 ล่าสุด การเจรจาเกือบเสร็จหมดแล้ว เหลือเพียงปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อให้สินค้าจากไทยได้รับสิทธิเสียภาษีตอบโต้ 19% “ส่วนกรณีรัฐบาลสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ หลังจากวุฒิสภาไม่ผ่านมติขยายเวลาการจัดสรรงบประมาณออกไปนั้น ไม่กระทบต่อการเจรจาไทย-สหรัฐฯแน่นอน เพราะมีคณะทำงานรับผิดชอบอยู่ และการเจรจาใกล้เสร็จสิ้นแล้ว เราตั้งเป้าหมายสรุปผลการเจรจาในสิ้นปีนี้ จากนั้นจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาเห็นชอบก่อนลงนามความตกลง เพื่อให้มีผลใช้บังคับ”

2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา โดยจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้นร่วมกับไปรษณีย์ไทย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่

3.เดินหน้าเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และบุกตลาดใหม่ ปีนี้ตั้งเป้าหมายปิดการเจรจากับเกาหลีใต้ ส่วนตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้, อินเดีย, เวียดนาม เป็นต้น

4.ดูแลค่าครองชีพ โดยจัดมหกรรมธงฟ้า ลดค่าครองชีพ ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งที่ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับกระทรวงพาณิชย์ ให้เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาล คาดว่า จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี

5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยจัดทำมาตรการเชิงรุกก่อนผลผลิตจะออก ส่วนข้าว จะเร่งผลักดันการส่งออกให้ได้ 1 ล้านตันในระยะสั้นนี้ ทั้งการขายรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน 500,000 ตัน เตรียมทำเอ็มโอยูกับสิงคโปร์ให้ซื้อข้าวไทย 100,000 ตัน เจรจากับญี่ปุ่นคงโวตานำเข้าจากไทยไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 300,000 ตัน เป็นต้น

6.เสริมแกร่งเอสเอ็มอี และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย โดยสนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ เป็นต้น

7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี โดยเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ นำ AI มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการค้า ขยายช่องทางขายสินค้าออนไลน์

ด้านนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การเปิดเผยราคายานั้น กรมได้ขอความร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยราคายาให้ประชาชนทราบก่อนชำระเงิน หรือนำไปซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ ขณะนี้ มีโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นสมาชิกสมาคมโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ภายใต้ 5 เครือจาก 11 เครือร่วมมือแล้ว เช่น เครือธนบุรี เครือเกษมราษฎร์ ฯลฯ และกำลังจะหารือกับเครืออื่นๆ ที่เหลือต่อไป เช่น เครือกรุงเทพดุสิตเวชการ จากนั้นจะลงนามเอ็มโอยูร่วมกัน คาดว่า จะเริ่มใช้มาตรการนี้ได้เดือนต.ค.นี้เป็นต้นไป
ขณะที่น.ส.สุนันทา กังวานกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในการเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ในช่วง 4 เดือนจากนี้ เตรียมจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาการค้ากับจีน เจาะลึกเป็นรายมณฑล เช่น ฉงชิ่ง รวมถึงเวียดนาม อินเดีย และจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจแบบสุดพิเศษ โดยเชิญผู้นำเข้า ผู้ซื้อจากสหรัฐฯยักษ์ใหญ่ และเป็นหน้าใหม่ มาเจรจาธุรกิจกับผู้ผลิต ผู้ส่งออกรายใหญ่ของไทย เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อ และช่องทางการขายใหม่ๆ คาดว่า การส่งออกสินค้าไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 6-7% เมื่อเทียบปี 67 จากเป้าหมายที่โต 2-3% คิดเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านบาท จากปีก่อนที่ได้ประมาณ 10 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์